โครงการนี้เป็นการถมพื้นที่ในทะเลเพื่อนำมาสร้างโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ที่ยังหาโครงการใดมาเปรียบได้ โดยมีแนวความคิดของการถมใช้พื้นที่ในทะเลเช่นเดียวกับชาวดัตช์ ที่พยายามถมชายฝั่งทะเลออกไป นำพื้นที่ที่ได้มาใช้เพื่อขยายชายฝั่งทะเลออกไป และนำเอากังหันลมมาใช้ในการลำเลียงน้ำออกจากพื้นที่ลงสู่คลองขุดขนาดเล็กที่ปล่อยน้ำลงสู่ทะเลตลอดเวลา ด้วยพื้นที่ที่ได้มานั้นอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จึงต้องมีระบบดังกล่าวที่คิดขึ้นด้วยวิศวกรระบบที่มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง โดยนำเอาทรายที่ดูดจากก้นทะเลมาถมเป็นพื้นที่โครงการ 3 เกาะขนาดมหึมา ซึ่งนับได้ว่าเป็นเกาะที่สร้างขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำเนินการโดยคณะวิศวกรและบริษัทก่อสร้าง Jan de Nul Group จากประเทศเบลเยี่ยม และบริษัท Van Oord จากประเทศเนเธอร์แลนด์




THE PALM JUMEIRAH คือโครงการแรกที่เริ่มก่อสร้างขึ้นในปีค.ศ. 2001 ถือเป็นโครงการนำร่องที่ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยหรูหราสำหรับอนาคต ที่เป็นทั้งในแบบของบ้านสไตล์วิลลาชายทะเล 1.400 หลังและอพาท์เมนต์สุดหรู ประมาณ 2,500 หน่วย (ที่ผู้พักอาศัยสามารถจะย้ายเข้าพักได้ในปีค.ศ. 2006 ) มีท่าจอดเรือยอชต์สำหรับเรือขนาดต่างๆที่ผู้พักอาศัยอยู่ในโครงการนี้ ซึ่งรูปทรงของโครงการนี้เมื่อมองจากท้องฟ้า จะมองเห็นเหมือนเป็นลำต้นปาล์มขนาดยักษ์ ตรงยอดเป็นแนวของใบปาล์ม 11 แนว ล้อมด้วยแนวเขื่อนกั้นคลื่น ลอยเด่นออกมาจากผืนน้ำสีฟ้าเข้มดูเหมือนใบปาล์มมหึมาที่ลอยอยู่ในน้ำ
       
       ส่วนของลำต้นซึ่งเป็นอาคารทรงยาว ล้อมรอบด้วยน้ำเช่นกัน จะประกอบด้วยสวนน้ำขนาดกว้างใหญ่ไพศาล เครื่องเล่นทันสมัยสารพัดชนิด ร้านอาหารนานาชาติจำนวนนับร้อยร้าน ทั้งร้านอาหารระดับภัตตาคารยุโรป อาหารทะเล อาหารอาหรับ และร้านอาหารทันสมัยประเภทฟาสต์ฟู้ด ศูนย์การค้าที่มีสินค้าชั้นยอดจากยุโรปและอเมริกา ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง ฯลฯ ไปจนถึง Taj Exotica Resort&Spa ซึ่งเป็นสปาชั้นเยี่ยมของโลก
      



 นอกจากนั้นยังมีโรงแรมระดับสี่ดาวไปจนเกินหกดาว ที่ราคาค่าห้องพักคืนละนับหมื่นเหรียญอเมริกัน กิจกรรมกีฬาต่างๆโดยเฉพาะสกีโดมที่มีการทำศูนย์การเล่นสกีหิมะในร่ม ราวกับชะลอสถานีสกีจากสวิตเซอร์แลนด์มาไว้ที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่ส่วนใหญ่อยู่ภายในอาคาร มีการปรับอากาศให้มีอุณหภูมิที่เย็นสบายแม้ในฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนจัดกว่า 40 องศาเซลเซียส ส่วนบริการของโครงการแรกนี้เสร็จสิ้นลงในปีค.ศ. 2004 ที่ผ่านมานี้ และโครงการทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 2008 โดยต้องระดมแรงงานจากแหล่งงานสำคัญจากประเทศต่างๆจากเอเชียใต้ เช่นอินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ เพราะแรงงานเหล่านี้เป็นแรงงานราคาถูกที่สุด




  อภิมหาโครงการยักษ์ระดับโลกนี้ใช้เวลาเนรมิตเพียง 7 ปี (ซึ่งเร็วกว่าเมืองไทยทำรางรถไฟฟ้าเสียอีก) ใช้แรงงานก่อสร้างผลัดกัน2 – 3 ช่วงต่อวัน ช่วงละ 8 ชั่วโมง แล้วแต่อุณหภูมิในฤดูต่างๆ ซึ่งช่วยให้การก่อสร้างรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วและเสร็จสมบูรณ์ตามแผนที่กำหนดไว้ โดยโปรเจ็กต์แรกนี้มีขนาดพื้นที่ประมาณ 25 ตารางกิโลเมตร และถูกล้อมด้วยเขื่อนหินทิ้งที่มีความยาวประมาณ 11 กิโลเมตร โดยใช้หินถึง 7 ล้านตัน มาเรียงเป็นคันเขื่อนที่มีแนวอาคารเรียงรายตลอดแนวรูปวงกลมนี้ โดยแนวชายฝั่งเทียมที่สร้างขึ้นนี้จะทำให้ชายฝั่งทะเลของดูไบเพิ่มขึ้นอีก 78 กิโลเมตร




 ด้านระบบขนส่งมวลชนที่จะนำมาเชื่อมจากสนามบิน และสถานีสำคัญต่างๆจากแผ่นดิน มาจนถึงประตูทางเข้าโครงการอันเป็นส่วนของลำต้น และสถานีที่จะจ่ายให้อาคารที่อยู่ตามแนวคันกั้นคลื่น จะเป็นระบบที่นำมาใช้สำหรับการขนส่งในอนาคต เมื่อเกิดภาวะน้ำมันลดน้อยถอยลง
       
       โครงการ THE PALM JUMEIRAH นี้ถือว่าเป็นโครงการศึกษา สำหรับโครงการถัดไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรู้ทางด้านอวกาศที่นำมาใช้ในการกำหนดสถานที่สร้าง อันจะเกิดผลกระทบต่อลักษณะทางธรรมชาติน้อยที่สุด อีกทั้งยังเป็นแหล่งความรู้ทั้งทางด้นวิศวกรรมทุกสาขา ด้านสถาปัตยกรรม การผลิตวัสดุก่อสร้างที่ป้องกันทั้งภัยธรรมชาติ อุบัติภัย วินาศภัย ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต







   การก่อเกิดของโครงการนี้ถือเป็นการทำงานร่วมกันครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา จากทุกประเทศที่มีความก้าวหน้าที่สุดในด้านอุตสาหกรรม ที่โลกที่ต้องจารึกลงในประวัติศาสตร์ นอกจากนั้นคณะทำงานที่มีความสำคัญที่จะเนรมิตความสวยงาม ความสดชื่นให้กับประเทศกลางทะเลทรายแห่งนี้ ก็คือนักพฤกษศาสตร์ที่พยามยามเนรมิตพื้นที่สีเขียว ตกแต่งประดับประดาด้วยไม้ของทะเลทรายที่งดงามอันได้แก่ต้นอินทผาลัมและไม้ดอกที่ให้สีสันสดใส เพิ่มความอ่อนโยนละมุนละไมและความงดงามให้กับผังเมืองใหม่จนไม่มีบรรยากาศของความแห้งแล้งแม้แต่น้อย
       
       ทั้งหมดนี้เพียงแค่โครงการแรกเท่านั้น ยังมีอีก 2 โครงการที่บิ๊กเบิ้มกว่านี้อีกหลายสิบเท่า แต่คงต้องรออ่านฉบับหน้าเสียแล้ว