แถมยังไม่ใช่เรือนไทยภาคกลางที่เราคุ้นตากันทั่วไปหรือน่าจะพบเห็นได้ง่ายในกรุงเทพฯนะ แต่เป็นเรือนไทยภาคเหนือซึ่งมีชื่อว่า เฮือนคำเที่ยง หรือ เรือนคำเที่ยง ในภาษากลางนั่นเอง เรือนหลังนี้เป็นเรือนเครื่องสับแบบล้านนาไทยดั้งเดิมหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า เรือนกาแล

 

เรือนหลังนี้มีอายุร้อยกว่าปีแล้ว สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกบริเวณริมฝั่งน้ำปิง จ.เชียงใหม่ ผู้ที่สร้างคือนางแซ้ด โดยนางใช้เป็นที่อยู่อาศัยของนางและลูกหลานอย่างร่มเย็นเป็นเวลาร้อยกว่าปี จนพ.ศ.2506 อ.ไกรศรี นิมมานเหมินทร์ลูกหลานคนหนึ่งของท่านได้มอบเรือนเก่าแก่หลังนี้ให้สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมป์เป็นผู้ดูแล


ทั้งนี้เพราะอ.ไกรศรีมองว่าความสำคัญและคุณค่าของศิลปะแบบล้านนาไทย นับวันก็จะสาบสูญไปตามกาลเวลา จึงต้องการให้เรือนหลังนี้เป็นดั่งพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาเพื่อรักษาศิลปวัฒนธรรมไทยล้านนา รวมทั้งจัดแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตแบบชาวเหนือดั้งเดิมเอาไว้ด้วย

 

การรื้อถอนเรือนคำเที่ยงจากเชียงใหม่มาปลูกสร้างในพื้นที่ของสยามสมาคมฯใช้เวลาดำเนินการถึง 2 ปีจึงสำเร็จ จากนั้นจึงเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ.2509 โดยการปลูกสร้างเรือนคำเที่ยงขึ้นมาใหม่มีการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบและทิศทางของเรือนบางอย่างเพื่อให้มีความสมบูรณ์ในพื้นที่จำกัดเช่นนี้

 

ส่วนประกอบที่น่าสนใจของเรือนคำเที่ยงเริ่มตั้งแต่ ชานบ้าน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เรือนไทยทุกภาคมีเหมือนกัน ชานบ้านเป็นส่วนที่พบเห็นได้ก่อนเป็นส่วนแรก ใช้สำหรับต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน ริมขอบชานของเรือนกาแลจึงมีหิ้งวางหม้อน้ำสำหรับใช้ดื่ม รวมทั้งกระบวยตักด้วย หิ้งนี้มีชื่อเรียกว่า ฮ้านน้ำ หรือร้านน้ำในภาษากลาง


ถัดเข้าไปจากชานเป็น เติ๋น หรือห้องโถงเปิดโล่ง ยกระดับสูงจากชานบ้านเล็กน้อย หากลองแหงนหน้าขึ้นมองด้านบนของเติ๋นจะเห็นว่าบนเพดานมีตะแกรงไม้ไผ่หรือไม้เนื้อแข็งที่ใช้สำหรับเก็บคนโทดินเผา, ตะกร้าหรือขันโตก ตะแกรงเก็บของนี้ภาษาล้านนาเรียกว่า "ค่วน"

 

บริเวณเติ๋นเป็นสถานที่ที่แสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชาวล้านนาอย่างหนึ่งคือ การแอ่วสาว หรือการที่ชายหนุ่มมาเยี่ยมทักทายหญิงสาวนั่นเอง เพราะปรกติฝ่ายหญิงมักจะนั่งทำงานเล็กๆ น้อยๆ บริเวณนี้ การแอ่วสาวนั้นจะมีผู้ใหญ่ในบ้านคอยดูอยู่ห่าง ๆ และหากใครพึงใจกันก็จะมีการแต่งงานตามประเพณีต่อไป

 

ห้องนอนของชาวล้านนามีฝารอบทั้ง 4 ด้าน อยู่ติดกับเติ๋น โดยกรอบประตูด้านล่างมีแผ่นธรณีประตูที่สูงกว่าขอบประตูปรกติสำหรับกั้นอาณาเขตของห้องนอนกับเติ๋น ก่อนจะเข้าห้องนอน แทบทุกคนต้องสะดุดตากับแผ่นไม้แกะสลักลวดลายสวยงามอยู่เหนือช่องประตู แผ่นไม้นี้เรียกว่า หำยนต์ใช้สำหรับป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้ผ่านเข้าไป


ปรกติห้องนอนของชาวล้านนานั้นเป็น พื้นที่ส่วนตัว ที่ไม่อนุญาตให้คนนอกครอบครัวผ่านเข้า-ออกเด็ดขาด แต่ห้องนอนของเรือนคำเที่ยงหลังนี้เป็นห้องนอนในพิพิธภัณฑ์ที่ใช้จัดแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชาวล้านนา คนนอกอย่างเรา ๆ จึงสามารถเดินผ่านเข้า-ออกได้

 

ห้องนอนห้องนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งซ้ายมือจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ชาย ส่วนขวามือเป็นของใช้ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง ข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงค่านิยมและหน้าที่ที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต้องปฏิบัติ นั่นก็คือฝ่ายชายมีหน้าที่ปกป้องครอบครัว ส่วนฝ่ายหญิงมีหน้าที่ทำงานบ้าน

 

นอกจากนี้ตามธรรมเนียมโบราณแล้ว ผู้หญิงล้านนาจะเป็นผู้ครอบครองและดูแลเรือนด้วย โดยลูกสาวคนสุดท้องจะต้องเป็นผู้สืบทอดเรือนและนำ ผีปู่ย่า" ไปไว้ที่เรือนตนเอง บนหัวนอนที่ติดกับเสาเอกจะมีหิ้งผีและมีข้าวของบูชาต่าง ๆ ฟังดูเหมือนน่ากลัว แต่นี่คือประเพณีที่แสดงให้เห็นถึงความกตัญญู


ครัวของเรือนล้านนาจะแยกจากเรือนใหญ่ออกไป มีชานเป็นตัวเชื่อมต่อกัน และเมื่อเราเดินผ่านครัวออกไปก็จะพบทางเดินที่นำไปสู่ยุ้งข้าว (โดยปรกติจะปลูกเป็นเรือนแยกออกไปต่างหาก) ขนาดของยุ้งข้าวสามารถบ่งบอกได้ว่าบ้านนั้นมีฐานะขนาดไหนด้วย

 

ชมบนเรือนจนทั่วแล้ว หากลงมาที่ใต้ถุน เราจะได้เห็นอุปกรณ์ทำมาหากิน รวมไปถึงความเป็นอยู่ของชาวล้านนาอีกด้วย เช่น อุปกรณ์การจับสัตว์น้ำต่าง ๆ, แบบจำลองของฝาย, การทำสีย้อมผ้าจากธรรมชาติ, ประเพณีการทอตุงที่แฝงไว้ด้วยความเชื่อต่าง ๆ รวมทั้งขันแก้วทั้งสามที่ใช้เพื่อบูชารัตนตรัย เป็นต้น

 

ทั้งหมดนี้คือเรือนและวิถีชีวิตแบบชาวล้านนา ที่นับวันยิ่งถูกกลืนหายไปจากโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว แต่การได้ศึกษาเรื่องราวในอดีต ทำความรู้จักกับรากของตนเองอย่างลึกซึ้งก็ให้ข้อคิดว่า พื้นฐานของทุกชีวิตนั้นล้วนอยู่บนความเรียบง่ายและความเชื่อที่แสนดีงามซึ่งสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นนั่นเอง