1. รางระบายน้ำฝนที่อยู่ใต้ชายคาอุดตัน บ้านที่ปลูกต้นไม้สูงรอบตัวบ้านจะมีปัญหาเศษใบไม้ร่วงลงมาที่รางระบายน้ำฝน เวลาฝนตกเศษใบไม้เหล่านี้ก็จะมาอุดตันอยู่ที่ช่องระบายน้ำลง ทำให้น้ำฝนไหลย้อนเข้าสู่ตัวบ้าน เดือดร้อนต้องขึ้นไปทำความสะอาดและซ่อมแซมกันบ่อยๆ เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ดังนั้นการทำ “ตะแกรง” ครอบราง เพื่อป้องกันไม่ให้เศษใบไม้ตกลงไปก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดี Tip ควรขึ้นไปตรวจดูรางระบายน้ำฝนทุก 3 เดือน โดยเฉพาะก่อนฤดูฝน
2. ท่อหลุด ท่อเอียง ควรตรวจสอบความแน่นหนาของเหล็กรัดท่อกับผนังว่าแข็งแรงดีหรือไม่ บริเวณข้อต่อและข้องอต่างๆควรยึดติดกันแน่นหนา หากไม่แน่นพอเมื่อถึงคราวฝนตกหนัก ปริมาณน้ำในท่ออาจไหลแรงจนทำให้เกิดการหลุดและรั่วได้ ฉะนั้นการติดตั้งก็ไม่ควรให้มีจำนวนข้อต่อและข้องอมากเกินไป เพราะจะเป็นการเพิ่มโอกาสการหลุดและรั่วได้ง่าย นอกจากนี้การต่อข้อต่อท่อแนวนอนราบในระยะที่ยาวเกินไปก็เป็นการเพิ่มโอกาสรั่วได้มากขึ้นเช่นกัน การต่อข้องอควรมีระดับอย่างน้อย 45 องศา ไม่ควรต่อข้องอในระดับ 90 องศา เพราะจะเกิดการอุดตันได้ง่าย
3. ภายในท่อทางตั้งมีการอุดตัน กรณีที่เกิดการอุดตันหรือติดขัดภายในท่อทางตั้ง การรื้อท่อทั้งหมดคงเป็นเรื่องยุ่งยาก การติดตั้งปลั๊กทำความสะอาด (ฝาท่อที่สามารถเปิดทำความสะอาดท่อได้ ) คล้ายๆที่ติดตั้งกับสุขภัณฑ์ในห้องน้ำก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดี ปัจจุบันมีบริษัทผู้ผลิตท่อและรางสำเร็จรูปผลิตออกมาหลายเจ้า ซึ่งแต่ละเจ้าก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น “drain trap” “self cleaning” “leaf – trap” ช่วยดักเก็บเศษใบไม้ เศษสิ่งปฏิกูลในท่อ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการอุดตันภายในท่อทางตั้งได้
4. ท่อระบายน้ำลงมีขนาดเล็กเกินไป การหาขนาดท่อระบายน้ำลงมาต่อจากรางระบายน้ำฝน ตามหลักการแล้วต้องให้วิศวกรสุขาภิบาลคำนวณพื้นที่หลังคาที่รับน้ำฝน แต่สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไป ตามปกติจะใช้ท่อระบายน้ำฝนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างต่ำ 3 - 4 นิ้ว แต่บางกรณีที่ใช้ท่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่านี้ต้องเพิ่มจุดในการทำท่อระบายน้ำลง ถ้าจะให้ดีควรทำท่อระบายน้ำลงหนึ่งท่อต่อหลังคาที่มีความกว้าง 8-10 เมตร
5. ท่อผุ เบี้ยว หรือสนิมขึ้นง่าย วัสดุที่นำมาทำรางระบายน้ำฝนหรือท่อระบายน้ำลงควรมีความทนทาน ไม่เป็นสนิมง่าย ตัดแต่งขึ้นรูปได้สะดวก เช่น สังกะสี (ไม่ควรใช้แบบบางเกินไป จะบิดเบี้ยวไม่สวย) เหล็กเคลือบสี (คอยดูอย่าให้สีกะเทาะออก) สเตนเลส (ทนกว่าสังกะสี) ทองแดง ทองเหลือง อะลูมิเนียม ไวนิล ไฟเบอร์กลาส (ถ้าถูกกระแทกแรงๆอาจแตกได้) และพีวีซี วัสดุเหล่านี้หาได้ง่ายในท้องตลาด รวมถึงติดตั้ง ซ่อมแซม เปลี่ยนใหม่ได้สะดวก ระดับใต้ผิวดิน
6. น้ำล้น - เจิ่งนอง ท่อระบายน้ำลงที่ต่อจากรางระบายน้ำฝนนั้นควรจะต่อลงไปที่ “บ่อพัก” เพื่อรองรับปริมาณน้ำจำนวนมากที่ระบายมาจากหลังคา จากนั้นจึงค่อยระบายไปตามท่อระบายน้ำ ก่อนออกสู่ทางระบายสาธารณะต่อไป หากต่อลงที่ท่อระบายน้ำโดยตรง ในยามฝนตกหนักจะทำให้ระบายน้ำไม่ทัน น้ำอาจทะลักไหลย้อนได้
7. รางระบายน้ำฝนภายนอกตัน รางระบายน้ำฝนภายนอกที่เชื่อมระหว่างบ่อพักต้องมีความลาดเอียง 1 : 200 เป็นอย่างต่ำ และควรมีบ่อพักที่ระยะห่างทุก 6 เมตร สำหรับเป็นตัวพักน้ำ ดักขยะและสิ่งปฏิกูลต่างๆที่มากับน้ำ ขนาดของรางควรกว้างและลึกไม่ต่ำกว่า 20 เซนติเมตร เพื่อให้ระบายน้ำได้สะดวก
8. บ่อพักเต็มหรือตัน ขนาดของบ่อพัก ค.ส.ล. ไม่ควรน้อยกว่า 50 X 50 X 50 เซนติเมตร และพื้นก้นบ่อควรเท ค.ส.ล. รองด้วยทรายหยาบเพื่อความทนทาน ฝาบ่อเป็นค.ส.ล.หรือตะแกรงเหล็กป้องกันไม่ให้คนหรือสิ่งของตกลงไปในบ่อ แต่ต้องสามารถเปิดออกทำความสะอาดได้ หากจะเทพื้นซีเมนต์ทับฝาบ่อก็ต้องเว้นช่องให้สามารถเปิดปิดฝาบ่อได้
9. รางระบายน้ำภายนอกดูไม่สวยงาม รางระบายน้ำภายนอกมักเป็นร่องรางคอนกรีต ครั้นเปิดทิ้งไว้อาจมีสิ่งของตกลงไปกีดขวางการระบายน้ำ รวมทั้งยังดูไม่ค่อยสวยงามและอาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย การใช้ฝาปิดครอบอาจแก้ปัญหานี้ได้ แต่ต้องออกแบบให้สามารถเปิดบำรุงรักษาได้ด้วย หรืออาจใช้ตะแกรงโลหะครอบแล้วโรยกรวดทับผิวหน้า โชว์ความสวยงามก็ดูดีเช่นกัน
Tip 1. การติดตั้งท่อระบายน้ำฝนแบบซ่อนเพื่อความสวยงาม ควรคำนึงถึงขนาดของรางที่พอดีกับปริมาณน้ำ เพราะแก้ไขยากและต้องคิดถึงการซ่อมบำรุงรักษาด้วย 2. ราคาคร่าวๆของวัสดุทำรางน้ำฝน (ไม่รวมค่าติดตั้ง) - วัสดุโลหะ เช่น เหล็กเคลือบสี สเตนเลส ทองเหลือง ทองแดง ราคาเมตรละประมาณ 800 – 1,200 บาท - ไฟเบอร์กลาส ราคาเมตรละประมาณ 900-1,000 บาท - ไวนิล ราคาเมตรละประมาณ 400 บาท |