มอส พืชโบราณ ที่ทำให้สวนเขียว
 
 แต่ปัจจุบันมอสไม่ได้เป็นเพียงพืชชั้นต่ำอีกต่อไป การนำมอสเข้ามาใช้เพิ่มสีเขียวให้กับบ้านและสวน กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะให้ความสวยงามแล้ว มอสยังมีส่วนช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมได้อีกด้วย จากการวิจัยและค้นคว้า สู่เส้นทางงานตกแต่ง ทำให้ปัจจุบันมีการผลิตและยืดอายุมอสให้ใช้งานได้นานขึ้น แล้วจะรู้ว่ามอสไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไป

จุดเริ่มต้น
"การปลูกมอสในรูปแบบต่างๆอย่างที่เห็นนี้เริ่มจาก เราได้พบ ดร. โยชิทาดะ อิฮารา นักวิจัยเกี่ยวกับมอสชาวญี่ปุ่น ที่วิจัยมอสมานานกว่า 30 ปี ซึ่งสามารถทำให้มอสยังคงเขียวอยู่ได้ 10 ปี โดยไม่ต้องรดน้ำ จากการใช้สารชนิดพิเศษ ซึ่งเราเห็นว่าน่าจะนำมาปรับใช้กับงานตกแต่ง จึงได้ขอซื้อลิขสิทธิ์สารตัวนี้มา แต่กว่าจะสำเร็จได้ก็ต้องทดลองปลูกเลี้ยงมอสในบ้านเราดูก่อนว่าสภาพแวดล้อมแบบใดที่มอสเจริญเติบโตได้ดีที่สุด"

ทำอย่างไรมอสจึงอยู่ได้ 10 ปีโดยที่ยังเขียวอยู่
"จากกรรมวิธีพิเศษที่ดร.อิฮาราคิดค้น ทำให้มอสมีการตายแบบชั่วคราวเป็นระยะเวลาสั้น ๆ (stops growing period) คล้ายๆการจำศีล เมื่ออยู่ในสภาพที่เหมาะสมก็สามารถกลับมาเจริญเติบโตได้เช่นเดิม แต่ทั้งนี้ห้ามนำไปวางไว้บริเวณที่ได้รับแดดโดยตรง ควรเลี้ยงไว้ในบ้านหรือในบริเวณที่ค่อนข้างร่ม สิ่งที่ทำให้มอสยังคงเขียวอยู่ได้นานนั้นก็คือสารชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า น้ำยาเอ และน้ำยา ซี ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นธาตุอาหาร และช่วยในการยึดเกาะกับผิววัสดุ อีกอย่างคือชนิดของมอส ที่ใช้ได้ดีมีอยู่ 3 ชนิดคือ HAI MOSS (Hypnum plumaeforme) SUNA MOSS (Racomitrium canescens) และมอสสายพันธุ์ไทยนิยมเรียกทั่วไปว่า มอสป่า เริ่มแรกเรานำเข้า HAI MOSS และ SUNA MOSS จากญี่ปุ่น แต่ตอนหลังเราได้รวบรวมมอสสายพันธุ์ต่างๆส่งไปวิจัยที่ญี่ปุ่นก็พบว่าสามารถนำมาผลิตได้ดีเช่นกัน จึงได้เริ่มนำมาปลูกเลี้ยงผสมกัน"

การผลิตและดูแลรักษา
"หลังจากที่เราทดลองอยู่นานเพื่อหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับมอส จนในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า โรงเรือนที่ปลูกเลี้ยงต้องพรางแสง 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แต่ไม่ควรเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ และควบคุมระดับความชื้นสัมพัทธ์ให้มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ หากสูงถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์ ก็จะดีมาก เพราะจะทำให้อุณหภูมิในอากาศลดต่ำลงได้ด้วย สิ่งสำคัญคือต้องป้องกันลม และแสงแดดไม่ให้โดนมอสโดยตรง ส่วนรูปแบบการผลิตที่เราทำอยู่ก็มีอยู่ 2 แบบคือ ติดมอสลงไปบนผลิตภัณฑ์โดยตรง ส่วนอีกแบบคือปลูกมอสลงบนตาข่าย ทำเป็นมอสแผ่นสำหรับแทนหญ้า หรือติดผนังเป็นวอลล์เปเปอร์ ส่วนการดูแลหลังจากนำไปใช้งานแล้ว หากไม่รดน้ำมอสก็ยังเขียวอยู่อย่างนั้น แต่จะมีลักษณะแห้ง ถ้าต้องการใช้มอสเขียวฟูเหมือนในธรรมชาติก็ใช้น้ำฉีดพ่นบ่อย ๆ อาจติดไว้บนผนังน้ำตก หรือใช้กับโอ่งน้ำล้นก็ได้ หลักการนี้สามารถนำไปใช้กับการปลูกมอสในสวนทั่วไปได้ แค่ความชื้นและแสงต้องเหมาะสมเท่านั้น"

Tips
1. ผู้ที่ต้องการเลี้ยงมอสบนภาชนะต่าง ๆ หากไม่ใช้สารพิเศษ (น้ำยา เอ) เพื่อช่วยยึดกับวัสดุ สามารถนำมอสที่ขึ้นทั่วไปมาติดลงบนภาชนะ จากนั้นยึดด้วยลวด หรือเส้นเอ็น รดน้ำสม่ำเสมอ วางไว้ในบริเวณที่ร่มรำไร มีความชื้นสูง เมื่อมอสขึ้นเต็มและติดแน่นแล้วสามารถตัดลวดหรือเอ็นออกได้ แต่อย่างไรก็ตามวัสดุที่นำมาใช้ต้องเก็บความชื้นได้ดี เช่น ดินเผา ไม้ เป็นต้น

2. ก่อนนำมอสไปใช้งานควรปลูกมอสบนพื้นทรายหนา ประมาณ 10 เซนติเมตร ในโรงเรือนที่ควบคุมแสง และความชื้น เพื่อให้มอสเจริญเติบโตได้ระยะหนึ่งก่อน จะทำให้มอสแผ่กระจายเต็มพื้นผิวผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น

3. มอสที่ใช้แทนหญ้ามีข้อดีคือนอกจากจะเหยียบย่ำได้แล้วยังสามารถปลูกในที่ร่มได้อีกด้วย

4. คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งของมอสคือ ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่ปลดปล่อยก๊าซดังกล่าวออกมา ขณะเดียวกันยังช่วยลดอุณหภูมิในอากาศได้ 1-3 องศาเซลเซียส จึงเหมาะที่จะปลูกในบ้าน เป็นได้ทั้งตกแต่ง และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีไปในตัว

ขั้นตอนการผลิตมอสแผ่น
1. เตรียมแผ่นตาข่าย (วัสดุพิเศษย่อยสลายได้ในธรรมชาติ) วางลงบนเฟรม
2. ผสมสารชนิดพิเศษ (น้ำยา ซี ลักษณะเป็นเส้นใยสีขาว) กับน้ำ ราดลงบนแผ่นตาข่ายที่เตรียมไว้
3. ใช้น้ำฉีดให้เส้นใยลงไปอยู่ในช่องระหว่างตาข่าย จากนั้นติดมอสลงไปบนตาข่าย และฉีดน้ำซ้ำก่อนนำไปวางในโรงเรือน
4. เปรียบเทียบให้เห็นแผ่นมอสที่ปลูกเลี้ยงมาระยะหนึ่งมอสจะเป็นสีเขียวเต็มแผ่น