บ้าน 8 เหลี่ยม หรือฉายา Chemosphere House หรือบางคนก็ชอบเรียก บ้านจานบิน หลังนี้ ตั้งโดดเด่นเป็น landmark อยู่บนเขาใน Los Angeles มาจะเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว และด้วยรูปแบบที่ดูทันสมัยอยู่เสมอนี่เอง มันจึงได้รับยกย่องให้เป็น masterpiece of California Modernism ไปอย่างสมศักดิ์ศรี และเป็นบ้านที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็น Modern classic เลยทีเดียว
ที่จริงงานชิ้นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เกิดขึ้นจากองค์ประกอบพิเศษที่ลงตัวอย่างโชคดีมากกว่า เพราะเจ้าของคนแรก นาย Leonard Malin เป็นวิศวกรอวกาศ (aerospace engineer) ในยุคนั้น เมื่อได้รับที่ดินผืนนี้มาจากพ่อตาของเขา โดยที่ยังไม่มีเงินเก็บสักเท่าไหร่ แต่เขาคิดว่า จะไม่รอเก็บเงินไปชั่วชีวิตเพื่อสร้างบ้านในฝันเหมือนคนอื่น เขาจึงหากู้เงินมาสร้างบ้าน และผ่อนชำระไปเรื่อยๆดีกว่า (คนไทยตอนนี้ก็ทำแบบนี้กันเยอะ แต่ต้องแน่ใจว่า มีความสามารถในการผ่อนชำระไปจนครบนะครับ ไม่ใช่ผ่อนไปเยอะ แต่โดนยึดไปซะ) ส่วนที่ดินบนเขานั้น มีความลาดชันมากกว่า 45 องศา จึงยากที่จะทำการก่อสร้างอะไรได้ (พ่อตาคงไม่มีไอเดีย เลยยกที่ให้ลูกเขย) แต่นาย Malin แกบังเอิญโชคดีอีกเหมือนกัน ที่มีเพื่อนบ้าน แนะนำ Lautner ให้ และก็ไม่ผิดหวัง Lautner ได้ร่างแบบขึ้นมาโดยใช้โครงสร้างแบบเสาเดียวรับตัวบ้านไว้ทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหา (โดยที่ไม่ได้คิดว่าจะทำรูปทรงเหมือนจานบิน) แม้กระทั่งในปัจจุบันโครงสร้างที่แข็งแรงเป็นพิเศษนี้ ก็ทำให้พ้นจากแรงของแผ่นดินไหวใหญ่ๆไปได้หลายครั้ง
บ้านหลังนี้ นอกจากจะเด่นด้วยรูปทรง 8 เหลี่ยมแล้ว โครงสร้างพิเศษ แบบเสาเดียว ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเขา ก็ยิ่งชูความเด่นของมันมากขึ้นไปอีก จนข่มสิ่งก่อสร้างอื่นๆในบริเวณไปหมด เจ้าของบ้านคนล่าสุด เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ชื่อดังของเยอรมัน Benedikt Taschen ได้ซื้อและปรับปรุงมันใหม่เมื่อ ปี 2000 นี่เอง โดยมี Brad Pitt ดาราหนุ่มชื่อดัง มาสังเกตการณ์หลายครั้งระหว่างการซ่อมแซม ด้วยความอิจฉา
สำนักพิมพ์ Taschen ของ Benedikt Taschen จะมีหนังสือเกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรมและสถาปนิกมากมาย เขาจึงมีข้อมูลในเรื่องนี้มากทีเดียว และเมื่อเขาเห็นบ้านหลังนี้ครั้งแรก เขาตัดสินใจซื้อมันทันที อย่างรวดเร็ว เพราะ "it was love at first sight" นอกจากความสวยงามของตัวบ้านแล้ว จุดเด่นของมันคือ panoramic view ที่ Benedikt “หลงใหลเมื่อแรกเห็น” นั่นเอง เขาเป็นคนที่ชอบทำงานอยู่กับบ้านบ่อยๆ ดังนั้น จึงไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะไปกว่าที่นี่อีกแล้ว ยามเมื่อมองออกไปนอกบ้าน ไม่ว่ากลางวัน หรือกลางคืน จินตนาการต่างๆก็จะโลดแล่น พรั่งพรูออกมาอย่างไร้ขีดจำกัดทีเดียว และเขาก็ไม่เคยเบื่อเลย เขาเปรียบวิวภายนอกของที่นี่ว่า มันเหมือนได้นั่งดูหนังจอยักษ์ ที่มีเรื่องราวต่างๆเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
แม้ว่าดูเหมือนจะมีความขัดแย้งกันในด้านความรู้สึก คือภายนอกนั้น ดูคล้ายจานบินที่ไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้ แต่เมื่อคุณเข้าไปอยู่ภายใน กลับได้ความรู้สึกอบอุ่น สงบ และเบาสบาย จากตำแหน่งสูงบนเขาเหนือตัวเมือง ทำให้รู้สึกว่าได้ตัดขาดจากตัวเมืองอย่างอิสรเสรี แต่ก็อบอุ่น ปลอดภัย ดั่งรังนกอินทรี
แปลนบ้านแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยผนังอิฐและเตาผิงที่อยู่ตรงกลาง ด้านหนึ่งเป็นส่วนนั่งเล่น ห้องอาหาร และครัว ส่วนอีกด้านเป็นห้องนอน ถึงแม้ว่าสภาพของตัวบ้านก่อนการบูรณะนั้น แทบหมดสภาพแล้ว แต่ Benedikt ก็ได้ว่าจ้างสถาปนิกเข้ามาช่วยดำเนินการ ฟื้นฟูมันเสียใหม่ ให้ได้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด สถาปนิกจะช่วยให้คำแนะนำว่า ส่วนไหนเป็นของดั้งเดิม ส่วนไหนควรเปลี่ยน หรือส่วนไหนควรรักษาไว้ จนเสร็จสมบูรณ์ แต่ข้อเสียของบ้านแบบนี้ก็มีเหมือนกัน นั่นคือค่าบำรุงรักษาที่แพงกว่าปกติธรรมดา ถึง 10 เท่า เพราะจะต้องทำอะไรที่ยากกว่าปกติธรรมดาเสมอ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เปรียบเทียบได้กับถ้าคุณขับรถโรลสรอยส์ คุณก็ต้องจ่ายมากกว่ารถอื่นๆหลายเท่าตัวนั่นเอง แต่ Benedikt ก็ยินดีที่จะควักกระเป๋า เพราะเขาคิดว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของบ้าน ที่จะต้องอนุรักษ์ บ้านหลังนี้ไว้ ให้คนรุ่นหลัง เพราะมันไม่ใช่แค่สมบัติของคนไม่กี่คน แต่มันเป็นสมบัติของมนุษยชาติ ทีเดียว
สถาปนิก John Lautner เสียชีวิตลง เมื่อปี 1994 นี่เอง ทิ้งผลงานบ้านที่เป็น Modern classic ที่มีคุณค่าไว้หลายหลัง แม้แต่ Frank Gehry สถาปนิกเอกในยุคปัจุบัน เมื่อสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษา ยังเคยยกย่อง Lautner ไว้ว่าเขาเป็นเหมือนพระเจ้าทีเดียว บ้านของ Lautner อีกหลายหลัง ยังเป็นที่ต้องการของบรรดาเศรษฐีคนดังทั้งหลาย ที่พร้อมจะควักกระเป๋าจ่าย เพื่อให้ได้อยู่ในบ้านของ John Lautner สักครั้งในชีวิต
